เจาะลึกสาเหตุที่เจ้าของโรงงานมักมองข้าม และวิธีป้องกันให้สีสวยนาน 5–10 ปี
การทาสีอาคารไม่ใช่เพียงเรื่องความสวยงามของอาคาร แต่ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องความปลอดภัย ความเป็นระเบียบ มาตรฐาน GMP/ISO และภาพลักษณ์ของธุรกิจโดยตรง โรงงานจำนวนไม่น้อยลงทุนทาสีใหม่ทั้งอาคาร หวังให้ดูใหม่ สะอาด เรียบร้อย แต่สิ่งที่พบคือ เพียง 1–2 ปี สีเริ่มซีด ลอก ด่าง และดูเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่คิด
คำถามคือ…ทำไมจึงเป็นแบบนั้น?
เพราะอะไรโรงงานบางแห่งทาสีแล้วอยู่ทนเป็น 10 ปี แต่บางแห่งเพียง 1–2 ปีก็พัง?
Table of Contents
-
สภาพแวดล้อมโรงงาน “หนักกว่าบ้านทั่วไปหลายเท่า” แต่ใช้สีผิดประเภท
หลายโรงงานเลือกสีจากความคุ้นเคย เช่น สีทาภายนอกที่ใช้กับบ้าน หรือสีที่ผู้รับเหมาทั่วไปแนะนำ โดยไม่ดูประเภทการใช้งานจริงของโรงงาน ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่ “โหดกว่า” เช่น
- มีความชื้นสูง
- มีสารเคมีหรือไอกรด–ด่าง
- อยู่ใกล้ทะเล มีไอเค็ม/ละอองเกลือแรง
- อาคารสูงรับแดดแรงทั้งวัน
- ฝุ่นเยอะจนเกาะผิวตลอดเวลา
- ความร้อนสะสมมากจากหลังคาเมทัลชีท
สีทั่วไปถูกออกแบบสำหรับบ้าน ไม่ได้ถูกออกแบบให้ทนต่อสภาวะแบบโรงงาน
เมื่อใช้ผิดประเภท สีจึงเสื่อมเร็วจนซีดภายใน 1–2 ปีเป็นเรื่องปกติ
วิธีป้องกัน
- เลือก Industrial Grade Paint เช่น สีฟลูออโรโพลีเมอร์ (FCP), สีอะคริลิกเกรดอุตสาหกรรม, สีอีพ็อกซี่ภายนอก
- ตรวจสอบ “ค่าการทนแดด UV” และ “ค่าการทนชอล์ก (Chalking)” บน Technical Data Sheet
- ให้ทีมช่างสำรวจก่อนว่าอาคารอยู่ในโซนเสี่ยงความเค็มสูงหรือไม่
-
การเตรียมพื้นผิวไม่ดี = สีพังแน่นอน
สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้สีซีดเร็วกว่าปกติคือ
พื้นผิวเดิมไม่ถูกทำความสะอาดและเตรียมพื้นผิวอย่างถูกต้อง
โรงงานส่วนใหญ่มีสภาพแบบนี้:
- ผนังมีคราบน้ำมัน
- ฝุ่นเกาะหนา
- เชื้อรา–ตะไคร่ขึ้น
- มีสีเก่าลอกออกเป็นแผ่น ๆ
- ผนังปูนยังชื้นอยู่
ถ้าทาสีทับลงไปทันที “สีจะไม่จับตัวอย่างเต็มประสิทธิภาพ” เมื่อโดนแดดแรง ๆ สำหรับโรงงานภายนอกเพียง 1–2 ปี สีจะซีด แตก หรือหลุดลอกอย่างรวดเร็ว
วิธีป้องกัน
- ล้างพื้นผิวด้วยแรงดันน้ำ (High Pressure Cleaning)
- ใช้น้ำยา Anti-fungus / Anti-algae ป้องกันเชื้อรา
- ขูดลอกสีเก่าที่เสื่อมออกให้หมด
- ตรวจวัดค่าความชื้นของผนังก่อนทาสี
ปูนควรมีความชื้นต่ำกว่า 14%
งานทาสีโรงงานที่ดีต้องเริ่มจากพื้นผิวที่ “สะอาด เรียบ แห้ง แน่น”
-
ช่างทาสีใช้ไพรเมอร์ผิดชนิด หรือข้ามขั้นตอน
ไพรเมอร์ (Primer) คือหัวใจสำคัญของงานทาสี เพราะเป็นชั้นที่ยึดสีจริงให้ติดกับพื้นผิว
แต่ความผิดพลาดที่เจอบ่อยในโรงงานคือ:
- ใช้ไพรเมอร์เกรดต่ำ เพื่อลดงบ
- ใช้แทนกันระหว่างไพรเมอร์ปูน–ไพรเมอร์เหล็ก
- ใช้ไพรเมอร์คนละระบบกับสีจริง
- ทาไพรเมอร์บางเกินไป
- ข้ามขั้นตอน “ไม่ทาไพรเมอร์เลย”
เมื่อไพรเมอร์ไม่ทำงาน สีจริงจะซีดและเสื่อมเร็วกว่าปกติ 2–3 เท่า
วิธีป้องกัน
- เลือกไพรเมอร์ตามประเภทพื้นผิว: ปูน / เหล็ก / เมทัลชีท / เหล็กกัลวาไนซ์
- ดู Technical Data ว่า “Compatible” กับสีตัวที่จะทาทับหรือไม่
- ให้ช่างทาไพรเมอร์ตามสเปคของสี เช่น 1–2 เที่ยว ความหนาไม่น้อยกว่า 30–40 ไมครอน
-
ทาสีในสภาพอากาศไม่เหมาะสม
สภาพอากาศมีผลโดยตรงต่ออายุสี แต่หลายโรงงานรีบทำงานเพื่อให้อาคารเสร็จเร็ว ทำให้เกิดปัญหา:
- ทาสีช่วงฝนตก หรือความชื้นสูง
- ทาสีตอนแดดจัดจนผิวร้อนเกิน 45°C
- ทาตอนกลางคืนที่มีน้ำค้าง
- ทาสีบนผิวที่ยังไม่แห้งดี
เมื่อสีก่อตัวไม่สมบูรณ์ สีภายนอกจะซีดเร็ว หลุดเร็ว และเป็นชอล์กภายในเวลาอันสั้น
วิธีป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการทาสีในวันที่ความชื้นเกิน 85%
- ตรวจพื้นผิวให้แห้งสนิทก่อนลงสี
- วัดอุณหภูมิผิวก่อนเริ่มงาน โดยเฉพาะเมทัลชีท
(กลางวันอาจขึ้นไปถึง 50–70°C) - ให้ช่างวางแผนทาในช่วงเช้าเป็นหลัก
-
ใช้สีคุณภาพต่ำเพราะต้องการ “ประหยัดงบ”
การทาสีโรงงานเป็นงานที่หลายบริษัทพยายามลดต้นทุน จึงมักเลือกสีที่ราคาถูก หรือสีเกรดบ้านทั่วไป ซึ่งมีปัญหา:
- ค่าเม็ดสี (Pigment) ต่ำ ทนแดดไม่ดี
- ฟิล์มสีบาง ทำให้ซีดเร็ว
- เนื้อสีมีสาร Filler มากเกินไป
- ไม่มีสารป้องกัน UV หรือป้องกันชอล์ก
แม้วันแรกสีจะสวย แต่เพียงปี–สองปี ฟิล์มสีจะเริ่มเสื่อมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอาคารสูงที่โดนแดดจัดทั้งวัน
วิธีป้องกัน
เลือกสีเกรดอุตสาหกรรม เช่น:
- Fluoropolymer
- Acrylic 100%
- Silicone Acrylic
- PU/Polyurethane ภายนอก
ราคาสูงกว่าเล็กน้อย แต่ อยู่ได้นาน 5–10 ปี = คุ้มกว่าในระยะยาว
-
ผนังหรือหลังคาเกิดการรั่ว–ซึม ทำให้ฟิล์มสีเสีย
โรงงานจำนวนมากมีปัญหาน้ำรั่วจากดาดฟ้า หลังคาเมทัลชีท หรือผนังแตก เมื่อมีน้ำซึมเข้าด้านใน สีชั้นบนจะ:
- เกิดฟองอากาศ (Blistering)
- ด่างเป็นรอยน้ำ
- ซีดเร็วจากผิวที่เสื่อมสภาพ
- เกิดเชื้อรา พาให้สีเสื่อมหนักกว่าเดิม
ถ้าโรงงานมีปัญหา “water ingress” ไม่ว่าจะแค่ตรงสันหลังคาหรือจุดต่อผนัง สีจะพังเร็วภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี
วิธีป้องกัน
- ตรวจรอยรั่ว–รอยแตกร้าวก่อนทาสี
- ซ่อมรอยรั่วและกันซึมให้เสร็จก่อน
- ใช้สีที่มีคุณสมบัติป้องกันน้ำซึม (Elastomeric)
-
ไม่ได้ทาสีตามระบบครบ 2–3 ชั้น
งานทาสีอาคารโรงงานตามมาตรฐานต้องมีอย่างน้อย:
- ไพรเมอร์
- สีทับหน้า 2 ชั้น
- (ถ้าภายนอก) บางระบบมี Top Coat แบบกัน UV
แต่ผู้รับเหมาบางรายลดต้นทุนโดย:
- ทาเพียง 1 ชั้นเพื่อประหยัดเวลา
- ผสมสีให้เหลวเพื่อทาได้มากขึ้น
- ข้าม Top Coat
- ทาสีทับหน้าเพียง 1 รอบ
ผลลัพธ์คือฟิล์มสีบาง ไม่กัน UV และซีดในเวลาอันรวดเร็ว
วิธีป้องกัน
- ขอสเปคการทาสี (Painting System) เป็นเอกสาร
- ตรวจการทาแต่ละชั้นก่อนทาทับ
- ให้ทีมวิศวกรหรือ QC ตรวจความหนาฟิล์มสี (DFT)
-
โรงงานมีสารเคมีหรือพื้นที่กัดกร่อนสูง
โรงงานประเภทนี้สีมักซีดหรือเปลี่ยนสีเร็ว:
- โรงงานเคมี
- โรงงานอาหารทะเล (ไอเกลือสูง)
- โรงงานผลิตชิ้นส่วนโลหะ
- โรงงานที่มีไอน้ำร้อน
- โรงงานใกล้ทะเล
ละอองสารเคมีบางชนิดทำให้ฟิล์มสีเสื่อมเร็วกว่าปกติถึง 3–5 เท่า
วิธีป้องกัน
- ใช้สีเกรดพิเศษทนเคมี
- วิเคราะห์สภาพแวดล้อมก่อนเลือกประเภทสี
- ใช้ระบบสีแบบ High Performance Coating (HPC)
สรุป: สีซีดเร็ว = สเปคไม่เหมาะ + วิธีทำงานไม่ถูกต้อง
ถ้าสีโรงงานซีดภายใน 1–2 ปี สาเหตุแทบทั้งหมดมักมาจาก:
- ใช้สีผิดประเภท
- เตรียมพื้นผิวไม่ดี
- ทาสีตอนสภาพอากาศไม่เหมาะ
- ใช้งานไพรเมอร์ผิด
- ผู้รับเหมาลดขั้นตอน
- โรงงานอยู่ในพื้นที่สภาพแวดล้อมหนัก
- ปัญหาน้ำรั่ว–ความชื้น
การทาสีโรงงานให้ทน 5–10 ปีขึ้นไป จำเป็นต้องมีทั้ง “วัสดุที่ถูกต้อง” + “ขั้นตอนงานที่ได้มาตรฐาน” + “ทีมช่างที่เชี่ยวชาญการทำงานในโรงงานจริง”
คำแนะนำสำหรับเจ้าของโรงงาน / ผู้จัดการฝ่ายซ่อมบำรุง
ก่อนตัดสินใจทาสีโรงงานครั้งต่อไป ให้ตรวจสอบ 4 อย่างนี้:
- วัสดุเป็นเกรดอุตสาหกรรมจริงหรือไม่?
- มี Painting System ชัดเจนหรือไม่?
- ทีมช่างเตรียมพื้นผิวและตรวจความชื้นหรือเปล่า?
- อาคารคุณอยู่ในพื้นที่ต้องใช้สีพิเศษหรือไม่?
เพียงเท่านี้อาคารของคุณจะสวยทน 5–10 ปี ไม่ซีด ไม่ลอก และคุ้มค่ากว่าการทาสีใหม่ทุก 2 ปีอย่างแน่นอน

