ทาสีอาคารใหม่ให้สวยทนทาน: คู่มือฉบับสมบูรณ์จากมือโปร
การทาสีอาคารไม่ได้เป็นเพียงแค่การปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกให้สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องโครงสร้างอาคารจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดที่แผดเผา ฝนที่ตกชุก หรือแม้แต่มลภาวะในอากาศ การทาสีอาคารที่ถูกวิธีและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาอาคารให้คงทนและสวยงามไปยาวนาน บทความนี้จะนำท่านไปพบกับคู่มือฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับการทาสีอาคาร ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมพื้นผิว การเลือกสี การลงสีรองพื้น ไปจนถึงการทาสีจริง พร้อมทั้งสิ่งที่ควรคำนึงถึงและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทาสีอาคารใหม่ เพื่อให้ท่านสามารถดำเนินการทาสีอาคารได้อย่างมืออาชีพและได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
ขั้นตอนการทาสีอาคาร: ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
การทาสีอาคารให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและทนทานนั้น จำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนที่เป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การเตรียมพื้นผิวอย่างพิถีพิถัน ไปจนถึงการลงสีจริงอย่างถูกวิธี
1. การเตรียมพื้นผิว: หัวใจสำคัญของการทาสีที่เรียบเนียน
การเตรียมพื้นผิวที่ดีถือเป็นหัวใจสำคัญของการทาสีอาคาร เพราะจะช่วยให้สีสามารถยึดเกาะกับพื้นผิวได้อย่างแข็งแรง ทนทาน และให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนสวยงาม หากพื้นผิวไม่ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างเหมาะสม สีที่ทาอาจลอกล่อน ไม่ติดทน หรือเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาได้
- การทำความสะอาด: ขั้นตอนแรกของการเตรียมพื้นผิวคือการทำความสะอาดผนังอาคารอย่างทั่วถึง เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบเชื้อรา หรือสีเก่าที่หลุดล่อน มีวิธีการทำความสะอาดหลายแบบให้เลือก ขึ้นอยู่กับประเภทของสิ่งสกปรกและพื้นผิวของอาคาร
- การฉีดน้ำแรงดันสูง (Pressure Washing): เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดสิ่งสกปรกและสีเก่าที่หลุดล่อนในบริเวณกว้าง ควรปรับแรงดันน้ำให้เหมาะสม โดยทั่วไปแล้วประมาณ 500-800 PSI สำหรับการทำความสะอาดทั่วไป และอาจเพิ่มแรงดันได้ถึง 1500 PSI สำหรับคราบฝังแน่น ควรเลือกหัวฉีดแบบพัด (สีเขียวหรือสีเหลือง) สำหรับการทำความสะอาดทั่วไป และหัวฉีดสีดำหรือสีขาวสำหรับลงน้ำยาทำความสะอาด ควรฉีดน้ำจากบนลงล่างโดยให้แต่ละแนวฉีดซ้อนทับกันประมาณ 8 นิ้ว ข้อควรระวังคือไม่ควรใช้แรงดันน้ำที่สูงเกินไป เพราะอาจทำให้พื้นผิวอาคารเสียหายได้ นอกจากนี้ ควรระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าไปในรอยแตกหรือหลังวัสดุบุผนัง
- การขัดด้วยมือ (Hand Scrubbing): สำหรับคราบสกปรกฝังแน่น หรือบริเวณที่ต้องการความละเอียดในการทำความสะอาด อาจใช้วิธีการขัดด้วยมือร่วมกับน้ำยาทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างจาน หรือน้ำยาทำความสะอาดผนังโดยเฉพาะ สำหรับคราบเชื้อราและตะไคร่น้ำ อาจใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของสารฟอกขาว หรือน้ำยาฆ่าเชื้อราโดยเฉพาะ ควรใช้แปรงขัดที่มีความแข็งเหมาะสมกับประเภทของพื้นผิว และล้างออกด้วยน้ำสะอาดให้หมดจด การขัดด้วยมือเหมาะสำหรับพื้นผิวที่บอบบางและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การทำความสะอาดพื้นผิวอย่างหมดจดจะช่วยให้สีรองพื้นและสีทับหน้าสามารถยึดเกาะได้ดีขึ้น ส่งผลให้การทาสีอาคารมีความทนทานมากยิ่งขึ้น คราบสกปรกที่หลงเหลืออยู่อาจเป็นอุปสรรคต่อการยึดเกาะของสี ทำให้สีลอกล่อนได้ง่าย
- การซ่อมแซมรอยแตกร้าว: ก่อนการทาสีอาคาร ควรซ่อมแซมรอยแตกร้าวต่างๆ บนผนัง เพื่อป้องกันความชื้นเข้าไปในโครงสร้างอาคาร ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่าได้ วิธีการซ่อมแซมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของรอยแตกร้าวและวัสดุของผนัง
- รอยแตกร้าวบนผนังปูนฉาบ: สำหรับรอยแตกร้าวขนาดเล็ก ) อาจใช้สีโป๊วอุดรอยแตกร้าว แล้วขัดให้เรียบ สำหรับรอยแตกร้าวที่ใหญ่ขึ้น ควรขยายรอยแตกเล็กน้อย ทำความสะอาดเศษฝุ่น แล้วใช้วัสดุอุดโป๊ว เช่น อะคริลิกฟิลเลอร์ หรือปูนซ่อมแซม ทาวัสดุอุดโป๊วเป็นชั้นบางๆ หลายชั้น รอให้แห้งสนิท แล้วขัดให้เรียบเนียน
- รอยแตกร้าวบนผนังคอนกรีต: ควรขยายรอยแตกเล็กน้อย ทำความสะอาดเศษฝุ่น แล้วใช้น้ำยาประสานคอนกรีตทาบริเวณรอยแตก จากนั้นจึงใช้ปูนซ่อมแซมคอนกรีตอุดรอยแตกให้เต็มและเรียบ
- รอยแตกร้าวบนผนังยิปซัม: อาจต้องใช้วิธีที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยอาจต้องใช้เทปตาข่ายไฟเบอร์กลาสปิดทับรอยแตกก่อน แล้วจึงฉาบทับด้วยปูนยิปซัม การสังเกตประเภทและความรุนแรงของรอยแตกร้าวเป็นสิ่งสำคัญ รอยแตกร้าวเล็กๆ อาจเป็นเพียงปัญหาด้านความสวยงาม แต่รอยแตกร้าวขนาดใหญ่ หรือรอยแตกร้าวที่บ่งบอกถึงปัญหาโครงสร้าง หรือรอยแตกร้าวแบบขั้นบันไดบนผนังอิฐ ) ควรได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการทาสีอาคาร
- การขจัดสีเก่า: หากมีสีเก่าที่หลุดล่อน บวม หรือเป็นฝุ่นชอล์ก ควรขจัดออกก่อนทำการทาสีอาคารใหม่ เพื่อให้สีใหม่สามารถยึดเกาะกับพื้นผิวได้ดี มีหลายวิธีในการขจัดสีเก่า
- การขูดและขัด: ใช้อุปกรณ์ขูดสี เช่น เกรียงขูดสี หรือเครื่องขัดกระดาษทราย (ทั้งแบบมือและแบบไฟฟ้า) ขูดและขัดสีเก่าที่หลุดล่อนออก สำหรับสีเก่าที่ติดแน่น อาจต้องใช้กระดาษทรายเบอร์หยาบขึ้น
- การฉีดน้ำแรงดันสูง: สามารถช่วยขจัดสีเก่าที่หลุดล่อนได้ แต่ควรระมัดระวังไม่ให้แรงดันน้ำสูงเกินไปจนทำให้พื้นผิวเสียหาย
- เครื่องมือให้ความร้อน: เช่น ปืนเป่าลมร้อน สามารถทำให้สีเก่าอ่อนตัวลงและขูดออกได้ง่ายขึ้น แต่ควรระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยจากความร้อนและเปลวไฟ
- น้ำยาลอกสี: มีทั้งแบบที่เป็นสารเคมีและแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น สารสกัดจากส้มหรือถั่วเหลือง) ควรเลือกใช้น้ำยาลอกสีให้เหมาะสมกับประเภทของสีเก่าและพื้นผิวอาคาร และปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้งานอย่างเคร่งครัด รวมถึงสวมอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยที่เหมาะสม
- การขจัดสีด้วยอินฟราเรด: เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับการขจัดสีที่มีส่วนผสมของตะกั่ว การเลือกวิธีขจัดสีเก่าที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับประเภทของสีเก่า วัสดุของพื้นผิว และความปลอดภัยในการใช้งาน สำหรับอาคารเก่าแก่ ควรเลือกวิธีที่อ่อนโยนเพื่อรักษาสภาพวัสดุเดิม

2. การเลือกสีที่ใช่: ตอบโจทย์ทุกความต้องการและพื้นผิว
การเลือกประเภทและคุณภาพของสีที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความทนทานและความสวยงามของการทาสีอาคารเช่น สีอะคริลิกสำหรับผนังคอนกรีต หรือ สีน้ำมันสำหรับงานไม้และเหล็ก เตรียมเครื่องมือที่จำเป็น เช่น แปรง ลูกกลิ้ง เครื่องพ่นสี ถังผสมสี เทปกาว และผ้าคลุมพื้น
- ประเภทของสี: มีสีทาอาคารหลายประเภทให้เลือก แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน
- สีน้ำอะคริลิค: เป็นสีที่ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย เหมาะสำหรับทาบนพื้นผิวปูน คอนกรีต และไม้บางชนิด มีทั้งสีทาภายในและสีทาภายนอก สีอะคริลิคใช้งานง่าย แห้งเร็ว และทำความสะอาดด้วยน้ำได้ สีอะคริลิคสำหรับภายนอกมีความทนทานต่อสภาพอากาศได้ดี
- สีน้ำมัน: เป็นสีที่ใช้น้ำมันหรือทินเนอร์เป็นตัวทำละลาย มีความทนทานสูง ให้สีสันสดใสเงางาม เหมาะสำหรับทาบนพื้นผิวไม้และโลหะ สีน้ำมันมีระยะเวลาแห้งนานกว่าสีน้ำอะคริลิค และต้องใช้น้ำมันสนหรือทินเนอร์ในการทำความสะอาด
- สีทาไม้: ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับทาบนพื้นผิวไม้ มีทั้งแบบสีย้อมไม้ที่ช่วยขับลายไม้ให้สวยงาม และสีทาไม้แบบทึบแสง นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์เคลือบไม้ เช่น แลกเกอร์และเชลแล็ก
- สีรองพื้น: จะกล่าวถึงในรายละเอียดต่อไป แต่โดยทั่วไปคือสีที่ใช้ทาก่อนสีจริง เพื่อเสริมการยึดเกาะ ปิดบังคราบ และปรับสภาพพื้นผิว
- สีทากันสนิม: ใช้สำหรับทาบนพื้นผิวโลหะเพื่อป้องกันการเกิดสนิม
- สีย้อมไม้: ใช้สำหรับทาบนพื้นผิวไม้เพื่อให้สีสันตามต้องการโดยยังคงเห็นลายไม้ การเลือกประเภทของสีควรพิจารณาจากวัสดุของพื้นผิวอาคารเป็นหลัก เพื่อให้สีสามารถยึดเกาะและแสดงคุณสมบัติได้อย่างเต็มที่ การเลือกสีให้เหมาะสมกับพื้นผิวจะช่วยป้องกันปัญหาต่างๆ เช่น สีลอกล่อน แตก หรือไม่ติดทน
- สีทาภายในและภายนอก: สีทาภายในและสีทาภายนอกถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน สีทาภายนอกจะมีส่วนผสมที่ช่วยให้ทนทานต่อสภาพอากาศ เช่น รังสี UV ฝน และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ไม่ควรนำสีทาภายในมาทาภายนอก เพราะสีทาภายในไม่ทนทานต่อสภาพอากาศภายนอกและอาจเสื่อมสภาพเร็ว ในขณะที่สีทาภายนอกบางชนิดสามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก
3. การทาสีรองพื้น
ใช้ สีรองพื้นปูนเก่า หรือ สีรองพื้นปูนใหม่ ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิว
ทาสีรองพื้นให้ทั่วถึง รอให้แห้งตามเวลาที่ผู้ผลิตแนะนำ
สีรองพื้นช่วยป้องกันการซึมของความชื้น ลดการดูดซึมของสีทับหน้า และช่วยให้สีติดแน่นขึ้น
4. การทาสีทับหน้า
ทาสีชั้นแรกด้วยแปรงหรือลูกกลิ้ง โดยทาเป็นแนวเดียวกัน
ปล่อยให้สีชั้นแรกแห้งสนิทตามเวลาที่ระบุ
ทาสีชั้นที่สองเพื่อให้สีสม่ำเสมอและกลบพื้นผิวได้ดีขึ้น
หากต้องการความเข้มของสีเพิ่มเติม สามารถทาซ้ำอีกหนึ่งชั้น
5. การเก็บรายละเอียดและทำความสะอาด
ตรวจสอบจุดที่สีอาจไม่สม่ำเสมอ หรือมีรอยเปื้อน แล้วแก้ไข
ลอกเทปกาวที่ใช้กันเลอะออกอย่างระมัดระวัง
ทำความสะอาดเครื่องมือทันทีเพื่อป้องกันสีแห้งติด
เคล็ดลับในการทาสีอาคารให้สวยและทนทาน
เลือกสีที่มีคุณภาพสูงเพื่อลดการหลุดลอกและสีซีดจาง
ทาสีในช่วงอากาศแห้งและอุณหภูมิที่เหมาะสม (25-35 องศาเซลเซียส)
ใช้เทคนิคการทาที่เหมาะสม เช่น การทาด้วยลูกกลิ้งในทิศทางเดียวกัน
หลีกเลี่ยงการทาสีในวันที่มีฝนตกหรือความชื้นสูง เพื่อป้องกันปัญหาสีไม่แห้งหรือหลุดลอกง่าย

คุณสมบัติที่ควรพิจารณา: ในการเลือกสีทาอาคาร
ควรพิจารณาคุณสมบัติต่างๆ เพื่อให้ได้สีที่ตอบโจทย์ความต้องการและสภาพแวดล้อมของอาคาร
- ความทนทานต่อสภาพอากาศ: สำหรับการทาสีอาคารภายนอก ควรเลือกสีที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศในประเทศไทย ทั้งแสงแดดที่ร้อนจัด ฝนที่ตกหนัก และความชื้นสูง ควรมองหาสีที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV เพื่อป้องกันสีซีดจาง และทนทานต่อการกัดกร่อนจากสภาพอากาศ
- การสะท้อนความร้อน: สีที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน หรือสีกันความร้อนของ ASTEC ) สามารถช่วยลดอุณหภูมิของอาคารและประหยัดพลังงานได้ สีโทนสว่างจะสะท้อนความร้อนได้ดีกว่าสีโทนเข้ม
- การป้องกันเชื้อรา: ในสภาพอากาศที่ชื้น การเลือกสีที่มีคุณสมบัติป้องกันเชื้อราและตะไคร่น้ำ ) เป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาความสวยงามและสุขอนามัยของอาคาร
- ความสวยงาม: ควรเลือกสีที่สวยงามและเข้ากับสไตล์ของอาคาร รวมถึงความชอบส่วนตัว การเลือกสีที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา
- ความทนทานต่อการเช็ดล้าง: สำหรับบริเวณที่อาจมีคราบสกปรกได้ง่าย เช่น ภายในอาคาร ควรเลือกสีที่สามารถเช็ดล้างทำความสะอาดได้ง่ายโดยไม่ทำให้สีลอก โดยทั่วไปแล้ว สีที่มีความเงาจะเช็ดล้างได้ง่ายกว่าสีด้าน
- ระดับ VOC (Volatile Organic Compounds): ควรพิจารณาสีที่มีระดับ VOC ต่ำ ) เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ใช้งานและลดกลิ่นฉุนของสี
- เกรดของสี: สีทาอาคารมีหลายเกรด เช่น เกรดประหยัด เกรดมาตรฐาน เกรดพรีเมียม และเกรดอัลตร้าพรีเมียม สีเกรดสูงจะมีคุณภาพและความทนทานที่ดีกว่า มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และให้ความคุ้มค่าในระยะยาว